วิตามินทั้งหมดมีอะไรบ้าง?
- Dr. Warinya
- 6 มิ.ย.
- ยาว 3 นาที
วิตามินคือสารอาหารที่จำเป็นต่อชีวิต แต่หลายคนกลับไม่ค่อยเข้าใจ หรือมองข้ามความสำคัญของมันอยู่บ่อยครั้ง ต่างจากสารอาหารหลักอย่างโปรตีน คาร์โบไฮเดรต หรือไขมันที่ร่างกายต้องการในปริมาณมาก วิตามินเป็นสารอาหารขนาดจิ๋วที่ร่างกายต้องการเพียงเล็กน้อย แต่มีหน้าที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการทำงานของร่างกายทุกระบบ ตั้งแต่การซ่อมแซมเซลล์ ระบบภูมิคุ้มกัน ไปจนถึงการทำงานของสมองและระบบประสาท

แม้จะเป็นเพียงสารอาหารเล็กๆ แต่วิตามินเปรียบเสมือนกุญแจเล็กๆ ที่ไขกลไกสำคัญของชีวิตได้อย่างน่าทึ่ง ในบทนี้ เราจะพาไปรู้จักกับวิตามินให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ทั้งในแง่ความหมาย ประวัติความเป็นมา การจำแนกประเภท ไปจนถึงหน้าที่และความสัมพันธ์กับสุขภาพของเรา โดยเฉพาะในยุคที่คนเริ่มหันมาใส่ใจอาหารสุขภาพและผลิตภัณฑ์จากพืชมากขึ้น เช่น daily one, greens daily หรือ simple greens การเข้าใจเรื่องวิตามินจึงเป็นพื้นฐานที่สำคัญไม่แพ้อย่างอื่น
วิตามินคืออะไร?
วิตามินคือสารอินทรีย์ที่ร่างกายต้องการในปริมาณเล็กน้อยแต่ขาดไม่ได้ เพราะถ้าร่างกายไม่มีมันก็จะทำงานได้ไม่สมบูรณ์ วิตามินไม่ได้ให้พลังงานโดยตรงเหมือนคาร์บหรือไขมัน แต่ช่วยให้กระบวนการต่างๆ ในร่างกายเกิดขึ้นได้ เช่น
สร้างพลังงานจากอาหาร
เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
บำรุงสายตา ผิวพรรณ และระบบประสาท
ช่วยในการแข็งตัวของเลือดและสุขภาพของกระดูก
ซ่อมแซมเซลล์และดีเอ็นเอ
ร่างกายไม่สามารถสร้างวิตามินได้เอง (หรือสร้างได้เพียงเล็กน้อย) จึงต้องรับจากอาหารหรืออาหารเสริม หากได้รับไม่เพียงพอ อาจเกิดภาวะขาดวิตามินซึ่งส่งผลต่อสุขภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจ
จุดเริ่มต้นของการค้นพบวิตามิน
เรื่องราวของวิตามินเริ่มต้นจากการพยายามหาสาเหตุของโรคประหลาดในอดีต เช่น โรคลักปิดลักเปิด โรคเหน็บชา และโรคกระดูกอ่อน ซึ่งไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค แต่เกิดจากการขาดสารอาหารบางชนิด
โรคลักปิดลักเปิดกับวิตามินซี: ในปี 1747 แพทย์ชาวอังกฤษ James Lind ค้นพบว่าการให้ลูกเรือกินมะนาวช่วยป้องกันโรคนี้ได้ ต่อมาในปี 1932 นักวิทยาศาสตร์แยกสารวิตามินซีออกมาได้สำเร็จ
โรคเหน็บชากับวิตามินบี 1: ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 แพทย์ชาวดัตช์สังเกตว่าการกินข้าวขาวทำให้เกิดอาการเหน็บชา ในขณะที่ข้าวกล้องไม่เป็น จนพบว่าสารสำคัญอยู่ในเยื่อหุ้มข้าวคือวิตามินบี 1
โรคกระดูกอ่อนกับวิตามินดี: พบว่าเด็กที่ไม่ได้รับแสงแดดและกินอาหารขาดสารอาหารบางอย่างจะเกิดภาวะกระดูกอ่อน วิตามินดีจึงถูกค้นพบในเวลาต่อมา
คำว่า "วิตามิน" มาจากคำว่า vital amines ที่แปลว่า "สารสำคัญที่จำเป็นต่อชีวิต" และแม้จะไม่ใช่แอมมีนทุกชนิด แต่ชื่อก็ยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน
การจำแนกประเภท: วิตามินที่ละลายในไขมัน vs ในน้ำ
วิตามินแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลักตามลักษณะการละลายและการดูดซึมในร่างกาย
วิตามินที่ละลายในไขมัน (Fat-Soluble)
เช่น วิตามิน A, D, E และ K ต้องรับประทานร่วมกับไขมันเพื่อให้ร่างกายดูดซึมได้ดี และสามารถเก็บสะสมไว้ในร่างกายได้ หากได้รับมากเกินไปจากอาหารเสริม อาจเสี่ยงต่อภาวะเป็นพิษ
วิตามินที่ละลายในน้ำ (Water-Soluble)
ได้แก่ วิตามิน B ทั้ง 8 ชนิด และวิตามิน C ซึ่งไม่สามารถสะสมในร่างกายได้ จึงต้องรับประทานเป็นประจำทุกวัน หากเกิน ร่างกายจะขับออกทางปัสสาวะ
การเข้าใจลักษณะนี้สำคัญมาก เพราะจะช่วยให้เรารู้ว่าควรรับวิตามินแต่ละชนิดเวลาไหน และควรกินกับอะไร เช่น วิตามิน A ควรกินคู่กับไขมันเพื่อดูดซึมได้ดี ในขณะที่วิตามินซีควรกินตอนท้องว่างหรือคู่กับผลไม้สด
ทำไมวิตามินถึงสำคัญขนาดนี้?
วิตามินไม่ใช่แค่สารเสริมที่ดีต่อสุขภาพ แต่เป็นส่วนหนึ่งของการทำงานในร่างกายอย่างต่อเนื่อง เช่น
เป็นโคเอนไซม์ที่ช่วยให้เอนไซม์ในร่างกายทำงานได้
เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามิน C และ E ที่ช่วยปกป้องเซลล์
บางชนิดเป็นสารตั้งต้นของฮอร์โมน เช่น วิตามิน D
ขาดวิตามินเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้เกิดอาการล้า ภูมิคุ้มกันต่ำ หรือมีปัญหาทางผิวหนัง หากขาดนานๆ อาจนำไปสู่โรคร้ายแรง เช่น โรคโลหิตจาง กระดูกอ่อน หรือความผิดปกติของระบบประสาท
ผักใบเขียวกับบทบาทในการให้วิตามิน
ผักใบเขียวเป็นแหล่งวิตามินธรรมชาติที่ทรงพลังมาก โดยเฉพาะ:
วิตามิน K สูงในผักคะน้า ผักโขม บรอกโคลี
วิตามิน A (ในรูปของเบต้าแคโรทีน)
วิตามิน C และกรดโฟลิก (วิตามิน B9)
วิตามิน E และ B-complex บางชนิด
การบริโภค greens daily หรือดื่ม morning greens ทุกเช้าเป็นวิธีที่ง่ายและสะดวกสำหรับคนที่มีเวลาจำกัด หรือไม่สามารถทานผักได้เพียงพอในแต่ละวัน
วิตามินในยุคใหม่: ทั้งโอกาสและความท้าทาย
แม้เราจะมีข้อมูลมากขึ้นและอาหารให้เลือกมากมาย แต่วิตามินก็ยังเป็นสิ่งที่หลายคนขาดโดยไม่รู้ตัว เพราะ:
กินอาหารแปรรูปมากเกินไป
ไม่ได้ทานผักและผลไม้เป็นประจำ
ไม่ออกแดดจึงขาดวิตามิน D
ใช้ชีวิตเร่งรีบจนมองข้ามโภชนาการ
ในยุคที่มี daily one ให้เลือกเป็นอาหารเสริม หรือมี simple greens และ greens natural วางขายทั่วไป เราต้องมีพื้นฐานความเข้าใจที่แน่นพอ เพื่อเลือกสิ่งที่เหมาะกับร่างกายของเราอย่างแท้จริง
สรุป
การเข้าใจวิตามินเป็นจุดเริ่มต้นของการดูแลสุขภาพอย่างรอบด้าน ไม่ใช่แค่การกินอาหารเสริมตามกระแส แต่คือการเลือกสิ่งที่ดีและเหมาะกับตัวเองจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการกินผักให้ครบ 5 สีในแต่ละวัน หรือเริ่มต้นเช้าด้วย morning greens การมีความรู้เรื่องวิตามินจะช่วยให้เราเลือกได้อย่างมั่นใจและดูแลตัวเองได้อย่างยั่งยืน
เจาะลึกวิตามินแต่ละชนิด — หน้าที่ แหล่งอาหาร และผลจากการขาด
เมื่อเราเข้าใจแล้วว่าวิตามินคืออะไรและทำไมมันถึงสำคัญ บทนี้จะพาไปเจาะลึกแต่ละตัวแบบชัดๆ เพราะวิตามินทั้ง 13 ชนิดที่จำเป็นต่อร่างกาย ต่างก็มีบทบาทเฉพาะตัวที่ขาดไม่ได้ ไม่สามารถแทนกันได้ และมาจากแหล่งอาหารที่หลากหลายต่างกันไป

บทนี้จะอธิบายหน้าที่หลักของวิตามินแต่ละตัว แหล่งที่พบตามธรรมชาติ ปริมาณที่แนะนำต่อวัน รวมถึงอาการเมื่อร่างกายขาดวิตามินนั้นๆ ซึ่งจะช่วยให้เราวางแผนอาหารและเลือกเสริมวิตามินได้อย่างมีเหตุผล ไม่ว่าจะเป็นจากอาหารธรรมชาติ อาหารเสริม หรือผลิตภัณฑ์สุขภาพแนว greens daily และ daily one
วิตามินที่ละลายในไขมัน
วิตามินกลุ่มนี้ต้องทานคู่กับไขมันถึงจะดูดซึมได้ดี และร่างกายสามารถเก็บสะสมไว้ได้ ถ้ากินมากเกินไปโดยเฉพาะในรูปแบบอาหารเสริม อาจเกิดภาวะสะสมเกินได้
วิตามินเอ (Vitamin A)
หน้าที่: บำรุงสายตา (โดยเฉพาะตอนกลางคืน) เสริมภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ผิวพรรณและเซลล์ในร่างกายทำงานปกติ
แหล่งอาหาร: ตับ น้ำมันปลา ไข่ นม ผักใบเขียวเข้ม เช่น ผักโขม แครอท ฟักทอง (ที่มีเบต้าแคโรทีน)
ปริมาณแนะนำต่อวัน:
ผู้ชาย: 900 ไมโครกรัม
ผู้หญิง: 700 ไมโครกรัม
ถ้าขาดจะเป็นอย่างไร: สายตามัวตอนกลางคืน ผิวแห้ง ภูมิคุ้มกันตก หายช้าหลังบาดเจ็บ
เพิ่มเติม: เบต้าแคโรทีนจากผักจะไม่สะสมเป็นพิษ แต่หากรับวิตามินเอจากอาหารเสริมมากเกินไป (โดยเฉพาะในหญิงตั้งครรภ์) อาจส่งผลเสีย
วิตามินดี (Vitamin D)
หน้าที่: ช่วยดูดซึมแคลเซียม เสริมกระดูกและฟันให้แข็งแรง สนับสนุนระบบภูมิคุ้มกัน
แหล่งอาหาร: แสงแดด (สังเคราะห์ได้ทางผิวหนัง), ปลาทะเล ไข่แดง ตับ นมเสริมหรือซีเรียลที่เติมวิตามินดี
ปริมาณแนะนำต่อวัน:
ผู้ใหญ่: 600–800 IU
ถ้าขาดจะเป็นอย่างไร: เด็กกระดูกอ่อน (rickets) ผู้ใหญ่กระดูกบาง ปวดเมื่อยตามตัว เหนื่อยง่าย
เพิ่มเติม: คนส่วนใหญ่มักขาดวิตามินดีเพราะไม่ค่อยออกแดด การเสริมด้วยอาหารเสริมหรือ morning greens ที่มีวิตามินดีอาจช่วยได้
วิตามินอี (Vitamin E)
หน้าที่: เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันเซลล์จากความเสียหาย เสริมระบบภูมิคุ้มกัน
แหล่งอาหาร: ถั่วเมล็ดแห้ง น้ำมันพืช อะโวคาโด ผักโขม บรอกโคลี
ปริมาณแนะนำต่อวัน: 15 มิลลิกรัม
ถ้าขาดจะเป็นอย่างไร: กล้ามเนื้ออ่อนแรง สายตาพร่ามัว ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
เพิ่มเติม: การรับมากเกินไปจากอาหารเสริมอาจรบกวนการแข็งตัวของเลือด
วิตามินเค (Vitamin K)
หน้าที่: ช่วยในการแข็งตัวของเลือด และเสริมกระดูก
แหล่งอาหาร: ผักใบเขียวเข้ม เช่น คะน้า ผักโขม บรอกโคลี และอาหารหมัก
ปริมาณแนะนำต่อวัน:
ผู้ชาย: 120 ไมโครกรัม
ผู้หญิง: 90 ไมโครกรัม
ถ้าขาดจะเป็นอย่างไร: เลือดออกง่าย ฟกช้ำง่าย กระดูกเปราะ
เพิ่มเติม: ผู้ที่ใช้ยาละลายลิ่มเลือดควรปรึกษาแพทย์ก่อนเพิ่มวิตามินเค
วิตามินที่ละลายในน้ำ
วิตามินกลุ่มนี้ไม่สะสมในร่างกาย ต้องทานเป็นประจำทุกวัน เพราะถ้าเกินร่างกายจะขับออกทางปัสสาวะ
วิตามินซี (Vitamin C)
หน้าที่: เสริมภูมิคุ้มกัน ช่วยสร้างคอลลาเจน ป้องกันเซลล์จากอนุมูลอิสระ ช่วยดูดซึมธาตุเหล็ก
แหล่งอาหาร: ส้ม ฝรั่ง สตรอว์เบอร์รี พริกหยวก มะเขือเทศ บรอกโคลี
ปริมาณแนะนำต่อวัน:
ผู้ชาย: 90 มิลลิกรัม
ผู้หญิง: 75 มิลลิกรัม
ถ้าขาดจะเป็นอย่างไร: เหนื่อยง่าย ฟันเหงือกมีปัญหา ผิวแห้ง ลักปิดลักเปิด
เพิ่มเติม: การสูบบุหรี่และความเครียดสูงทำให้ร่างกายต้องการวิตามินซีเพิ่มขึ้น
วิตามินบีรวม (Vitamin B-Complex)
กลุ่มนี้มีทั้งหมด 8 ชนิด แต่ละตัวมีหน้าที่เฉพาะ และมักทำงานร่วมกันในระบบเผาผลาญพลังงานและระบบประสาท
B1 (ไทอะมีน): ช่วยให้ร่างกายเปลี่ยนน้ำตาลเป็นพลังงาน พบในธัญพืชไม่ขัดสี หมู ถั่ว
B2 (ไรโบฟลาวิน): สนับสนุนการเจริญเติบโตของเซลล์และพลังงาน พบในนม ไข่ ผักใบเขียว
B3 (ไนอาซิน): ช่วยในการเผาผลาญและซ่อมแซม DNA พบในเนื้อสัตว์ ธัญพืช
B5 (แพนโทเทนิก): จำเป็นต่อการสร้างฮอร์โมน พบในเห็ด อะโวคาโด ไข่แดง
B6 (ไพริดอกซีน): ช่วยสร้างสารสื่อประสาท เช่น เซโรโทนิน พบในกล้วย ปลา แซลมอน ถั่วลูกไก่
B7 (ไบโอติน): ช่วยบำรุงผม ผิว และเล็บ พบในไข่แดง ถั่ว อัลมอนด์
B9 (โฟเลต/โฟลิกแอซิด): สำคัญต่อการสร้างเม็ดเลือดแดงและพัฒนาการของทารกในครรภ์ พบในผักใบเขียว หน่อไม้ฝรั่ง
B12 (โคบาลามิน): สำคัญต่อระบบประสาทและเม็ดเลือดแดง พบในเนื้อสัตว์ ปลา ไข่ และอาหารเสริมในผู้ทานมังสวิรัติ
วิตามินแต่ละตัวทำงานร่วมกัน
วิตามินหลายชนิดทำงานร่วมกันในร่างกาย เช่น:
วิตามิน C ช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีขึ้น
วิตามิน D ช่วยพาแคลเซียมไปใช้งานในกระดูก
วิตามิน B หลายตัวช่วยเสริมการเผาผลาญและการทำงานของสมอง
นี่คือเหตุผลที่การทานอาหารหลากหลาย โดยเฉพาะอาหารจากพืชเขียวๆ หรือ vege green แบบ greens natural จึงมีประโยชน์มากกว่าการกินวิตามินแบบแยกตัว เพราะมีทั้งไฟเบอร์ เอนไซม์ และสารช่วยดูดซึมที่ทำงานร่วมกันตามธรรมชาติ
วิตามินทั้ง 13 ชนิดล้วนมีบทบาทเฉพาะที่จำเป็นต่อการมีชีวิตและสุขภาพที่ดี การเข้าใจหน้าที่ แหล่งอาหาร และอาการเมื่อขาด จะช่วยให้เราวางแผนได้ว่าควรกินอะไร ควรเสริมอะไร และจะดูแลสุขภาพให้ครบด้านได้อย่างไร

ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ กับปัญหาแอบแฝงเรื่องวิตามิน
ในทางทฤษฎี การได้รับวิตามินจากการกินอาหารธรรมชาตินั้นควรจะเพียงพออยู่แล้ว แต่ในชีวิตจริง มันกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด และนี่คือเหตุผล:
อาหารแปรรูปเยอะเกินไป: ในแต่ละวัน หลายคนกินอาหารสำเร็จรูปมากกว่าผักผลไม้สด ทำให้ร่างกายขาดสารอาหารแม้จะกินเยอะ
ดินเสื่อมคุณภาพ: การปลูกพืชแบบเร่งโตทำให้สารอาหารในผักผลไม้ลดลงเมื่อเทียบกับสมัยก่อน
เวลาน้อย ทำอาหารเองไม่ทัน: ไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบทำให้หลายคนเลือกอาหารที่ง่ายและเร็ว มากกว่าอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ
ข้อจำกัดด้านอาหาร: คนที่ทานมังสวิรัติ วีแกน หรือคีโต อาจไม่ได้รับวิตามินบางชนิด เช่น B12 หรือ D ได้เพียงพอ
ปัญหาสุขภาพหรือการดูดซึม: โรคทางเดินอาหาร หรือการใช้ยาบางชนิด อาจรบกวนการดูดซึมวิตามินในร่างกาย
เพราะฉะนั้น ต่อให้คิดว่าตัวเอง "กินดีแล้ว" แต่ก็อาจยังมีช่องว่างที่ทำให้วิตามินไม่ครบโดยไม่รู้ตัว
อาหารจริงยังไงก็สำคัญที่สุด
อาหารที่มาจากธรรมชาติยังคงเป็นแหล่งวิตามินที่ดีที่สุด เพราะให้มากกว่าแค่วิตามิน เช่น ใยอาหาร สารต้านอนุมูลอิสระ และเอนไซม์ธรรมชาติที่ช่วยให้ร่างกายดูดซึมได้ดีขึ้น
แนวทางง่ายๆ ที่ช่วยให้เราได้รับวิตามินครบจากอาหาร:
กินผักผลไม้หลากสี โดยเฉพาะผักใบเขียวเข้ม (ผักโขม คะน้า บรอกโคลี)
กินผลไม้เป็นประจำ โดยเฉพาะผลไม้รสเปรี้ยว เบอร์รี่ และกล้วย
ใส่ไขมันดีในมื้ออาหาร เช่น อะโวคาโด น้ำมันมะกอก หรือถั่วต่างๆ เพื่อช่วยดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมัน
กินอาหารหมัก เช่น นัตโตะ โยเกิร์ต หรือกิมจิ เพื่อช่วยเรื่องระบบย่อยและวิตามินบางชนิด
เลือกธัญพืชไม่ขัดสี แทนข้าวหรือแป้งขัดขาว
ใครที่ไม่ค่อยมีเวลาก็สามารถเพิ่ม greens daily ลงในสมูทตี้หรือเครื่องดื่มช่วงเช้า ก็ช่วยให้ได้รับสารอาหารครบขึ้นได้
อาหารเสริมเสริมได้ แต่อย่าแทนมื้ออาหาร
การเติมวิตามินด้วยอาหารเสริมเป็นทางเลือกที่ดีในหลายกรณี โดยเฉพาะคนที่มีข้อจำกัดเรื่องอาหาร หรือมีภาวะขาดวิตามินชัดเจน
สิ่งที่ควรรู้ก่อนเสริมวิตามิน:
รูปแบบมีผลต่อการดูดซึม เช่น วิตามิน B12 ในรูปแบบเมทิลโคบาลามินดูดซึมได้ดีกว่าไซยาโนโคบาลามิน
ควรกินคู่กับอาหารหรือในช่วงเวลาที่เหมาะ เช่น วิตามินที่ละลายในไขมันควรกินหลังมื้ออาหาร
บางคนมีพันธุกรรมที่ส่งผลต่อการดูดซึม เช่น MTHFR ที่ต้องใช้โฟเลตแบบเมทิลแทนกรดโฟลิก
แนะนำให้เสริมในกรณีต่อไปนี้:
ตรวจพบว่าขาดวิตามินจากผลเลือด
รับประทานอาหารที่มีข้อจำกัด (เช่น วีแกนควรเสริม B12 และ D)
อยู่ในช่วงวัยที่ต้องการมากขึ้น เช่น ตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ หรือวัยทำงานหนัก
มีโรคที่รบกวนการดูดซึม เช่น ลำไส้แปรปรวน หรือโรคลำไส้อักเสบ
สำหรับคนที่ไม่ชอบกลืนเม็ดยา อาหารเสริมรูปแบบ daily one แบบผงหรือเยลลี่ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะใช้ง่าย และหลายยี่ห้อมีส่วนผสมจากพืชหรือ greens natural เพิ่มมาด้วย
สีเขียวในรูปแบบใหม่: ผงผักรวมและเครื่องดื่มสุขภาพ
ผลิตภัณฑ์กลุ่ม “ซุปเปอร์กรีน” กำลังมาแรงในหมู่คนรักสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็น morning greens, simple greens หรือ vege green ที่เน้นการรวมพืชใบเขียวและสมุนไพรไว้ในซองเดียว
ส่วนผสมหลักมักประกอบด้วย:
ผักใบเขียวเข้มแบบอบแห้ง: ผักโขม คะน้า พาร์สลีย์
สาหร่ายหรือหญ้าข้าว: คลอเรลล่า สไปรูลิน่า วีตกราส บาร์เลย์กราส
สมุนไพรหรือรากพืช: มะรุม ขมิ้น ขิง
ผลไม้และเอนไซม์: อาซาอิ เบอร์รี่ เอนไซม์ช่วยย่อย
พรีไบโอติกและโปรไบโอติก: เสริมการย่อยและการดูดซึม
ข้อดีของผลิตภัณฑ์แนวนี้:
พกพาง่ายและใช้สะดวก เพียงแค่ชงกับน้ำหรือใส่ในสมูทตี้
มีส่วนผสมหลากหลาย ครอบคลุมทั้งวิตามิน เอนไซม์ และสารต้านอนุมูลอิสระ
มีรสชาติกินง่าย ช่วยให้หลายคนกินผักได้มากขึ้นโดยไม่รู้ตัว
แต่ก็ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ไว้ใจได้ มีการทดสอบคุณภาพ ปราศจากสารปรุงแต่งหรือโลหะหนัก และบอกปริมาณสารแต่ละชนิดอย่างชัดเจน ไม่ใช้เพียงคำว่า “สูตรลับ” หรือ “ผสมรวม”
วางแผนให้ยั่งยืน: ดูแลวิตามินให้ครบอย่างมีสติ
การได้วิตามินครบไม่ใช่เรื่องยากหากวางแผนดี ซึ่งสามารถทำได้เป็นขั้นๆ ดังนี้:
ขั้นที่ 1: เริ่มจากอาหารจริง
กินผักผลไม้หลากหลาย
เลือกไขมันดี
เลี่ยงอาหารแปรรูปมากเกินไป
ขั้นที่ 2: ใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอย่างมีสติ
ตรวจระดับวิตามินจากผลเลือดหากจำเป็น
เลือกรูปแบบที่ร่างกายดูดซึมได้ดี
อ่านฉลากให้ดี หลีกเลี่ยงสารแต่งกลิ่น/สีที่ไม่จำเป็น
ขั้นที่ 3: เสริมด้วยสีเขียว
เติม greens daily ในวันที่กินผักได้น้อย
ดื่ม morning greens เป็นกิจวัตรตอนเช้า
ใช้ simple greens ที่ส่วนผสมมาจากพืชแท้ๆ ไม่ใช้กลิ่นสังเคราะห์
ขั้นที่ 4: สังเกตร่างกายและปรับตามความเหมาะสม
ฟังเสียงร่างกาย เช่น อ่อนเพลีย ผิวแห้ง หรือสมาธิสั้น
ปรับอาหารเสริมตามฤดูกาล หรือช่วงที่ร่างกายต้องการพิเศษ เช่น ทำงานหนัก เดินทางบ่อย
การดูแลให้ร่างกายได้รับวิตามินครบไม่ใช่เรื่องซับซ้อน แค่ต้องรู้จักเลือกให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตัวเองและมีความสม่ำเสมอ อาหารจากธรรมชาติก็ยังสำคัญที่สุด แต่ผลิตภัณฑ์อย่าง greens natural หรือ daily one ก็สามารถช่วยเสริมให้สมบูรณ์ขึ้นได้
สิ่งสำคัญคือ อย่าเน้นความสมบูรณ์แบบมากเกินไป แค่เริ่มต้นวันด้วยสิ่งเล็กๆ อย่างสมูทตี้ผัก หรือวางแผนมื้อเย็นให้มีผักเพิ่มอีกนิด ก็เป็นก้าวสำคัญสู่สุขภาพระยะยาวแล้ว
Comments